วงการกีฬา มึนตึ้บ โดนเหตุผล'การเมือง' ยกเลิก'อินดอร์เกมส์' - มติชน

วงการกีฬา มึนตึ้บ โดนเหตุผล‘การเมือง’ ยกเลิก‘อินดอร์เกมส์’

เหมือนฟ้าผ่าวงการกีฬาเมืองไทย เมื่อจู่ๆ คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย (บอร์ด กกท.) ที่มี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน มีมติจะขอเลื่อน หรือยกเลิกการเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาระดับทวีปเอเชียอย่างกีฬา เอเชี่ยนอินดอร์ และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ครั้งที่ 6

ย้อนกลับไป ประเทศไทยลงนามสัญญากับ สภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (โอซีเอ) ไปเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2563 เพื่อเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ซึ่งเดิมทีแรกสุดวางโปรแกรมเอาไว้แข่งขัน 10-19 มีนาคม 2564 แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องเลื่อนออกมา 1 ปี เป็น 10-22 มีนาคม 2565 ทว่าจนถึงตอนนั้นสถานการณ์ภายในประเทศก็ยังไม่ดี จนต้องเลื่อนอีกครั้งเป็น 17-26 พฤศจิกายน 2566

ซึ่งที่ผ่านมาการเตรียมงานทุกอย่างเป็นไปด้วยดี โอซีเอมีการเดินทางมาสำรวจความพร้อมของประเทศไทยในช่วงเหลือ 1 ปีสุดท้ายก่อนการแข่งขัน (เมื่อพฤศจิกายน 2565) ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกอย่างดูพร้อมและประเทศไทยน่าจะเป็นเจ้าภาพได้ตามแผนที่กำหนดเอาไว้

แต่ทว่าอยู่ดีๆ ล่าสุดการประชุมบอร์ด กกท.กลับมีมติให้ทำหนังสือถึงโอซีเอเพื่อขอเลื่อนจัดโดยให้ซาอุดีอาระเบีย เจ้าภาพปี 2570 ย้ายมาจัดก่อน แล้วไทยค่อยเป็นเจ้าภาพต่อจากซาอุฯในปี 2570 หากไม่มีชาติไหนเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ

“บิ๊กก้อง” ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นนี้ว่า ที่ประชุมบอร์ด กกท.แสดงความกังวลในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านรัฐบาล จึงเห็นว่าควรจะเลื่อนไปก่อน แต่สุดท้ายยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ ต้องหารือกับโอซีเอ ซึ่งเป็นคู่สัญญาว่ามีความคิดเห็นอย่างไร เพราะไทยไม่สามารถกำหนดเองได้ทั้งหมด ต้องมีการตกลงร่วมกัน

“นี่เป็นเพียงความกังวลและแนวคิด ยังไม่สามารถตัดสินใจเองได้ เราคงต้องมาหารือกับโอซีเออีกครั้งว่าจะมีความคิดเห็นอย่างไร ซึ่งเหตุผลของเราเป็นเหตุผลทางการเมือง และต้องดูอย่างอื่นประกอบด้วยว่าหากยกเลิกจะกระทบถึงความเชื่อมั่น และต้องชดเชยอย่างไรให้กับชาติอื่นๆ ที่เตรียมความพร้อมไปแล้ว ก่อนจะนำมาชั่งน้ำหนักหาความเหมาะสมหากจัดต่อก็ต้องเร่งมือทั้งเรื่องเตรียมการและงบประมาณที่ต้องเสนอ หากเลื่อน หรือยกเลิก ก็ต้องรีบแจ้งให้ชาติอื่นๆ รับทราบ” ดร.ก้องศักดกล่าว

เหตุผลของบอร์ด กกท.เป็นเหตุผลที่ขัดต่อหลักสากลในวงการกีฬาโลกอย่างมาก นั่นคือเอาเหตุผลด้านการเมืองมาอ้าง

ทั้งๆ ที่เป็นบทบัญญัติและข้อปฏิบัติที่ทั่วโลกรับรู้กันเป็นอย่างดีว่า “กีฬา” ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับ “การเมือง” คือต้องไม่นำเอาเรื่องของการเมืองมามีอิทธิพลเหนือวงการกีฬา

แต่การตัดสินใจครั้งนี้ของประเทศไทยชัดเจนว่าเจตนาเอาเรื่องของการเมืองมาสร้าง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก ไม่ใช่แค่วงการกีฬา แต่ส่งผลถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยในการจัดงานสเกลใหญ่ระดับเอเชีย

แน่นอนว่าหลังจากที่คีย์แมนกีฬาขาใหญ่ของไทยอย่าง “บิ๊กป้อม” ตัดสินใจออกมาแบบนี้ ย่อมเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักตามมา

“เสธ.โต” พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการเตรียมนักกีฬาทีมชาติไทย จัดหนักว่า เป็นการกระทำที่มีแต่ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสื่อมเสีย เพราะประเทศไทยมีเวลาในการเตรียมตัวยาวนานมาก แต่ไม่ยอมทำ จนพอใกล้แข่งขันยังไม่เรียบร้อยก็หาเรื่องยกเลิก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไทยเคยจัดกีฬาในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลมาเยอะ ไม่เคยมีปัญหา

“อย่าอ้างเรื่องการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่ทุกรัฐบาลจะต้องเข้ามาดำเนินการสิ่งที่ไทยได้ทำเอาไว้ในรัฐบาลที่ผ่านมา เนื่องจากมีข้อตกลง มีสัญญากันไว้อยู่แล้ว หากกรณียกเลิกใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องของค่าปรับ เพราะต้องหาคนรับผิดชอบเนื่องจากเป็นเงินหลวง” เสธ.โตจัดหนัก

ไม่เว้นแม้แต่ “บิ๊กนิด” เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ออกมาใช้ช่องทางโซเชียลแสดงความเห็นถึงประเด็นดังกล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องงบประมาณในการจัดการแข่งขันอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็น กกท., กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และรัฐบาล เพราะเรื่องนี้เป็นมากกว่าแค่การแข่งขันกีฬา นอกจากตัวแทนนักกีฬาจาก 45 ประเทศ จำนวนกว่า 5,000 คน ยังมีผู้ชมอีกนับแสนคนที่จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย และคาดว่าจะมีการรับชมจากทั่วโลกอีกหลายล้านคน

“การยกเลิกการเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้นอกจากจะทำให้ไทยเสียโอกาสในการแสดงศักยภาพที่จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว ยังอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยหากมีการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติในอนาคต จึงอยากให้ทบทวนดูอีกครั้ง” เศรษฐากล่าว

ถ้าบอกว่าอุปสรรคการจัดงานครั้งนี้คือการขาดงบประมาณในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ก็แค่สะบัดปลายปากกา สั่งการให้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นเจ้าภาพ ทำเรื่องเสนอไปยัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอนุมัติงบกลางมาใช้จัดการแข่งขัน แต่มีเงื่อนไขว่า “บิ๊กตู่” ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องทำหนังสือชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นเพื่อรักษาชื่อเสียงของประเทศไปยัง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสียก่อน

ทุกฝ่ายพร้อมจะให้ความร่วมมืออยู่แล้วหากมีเหตุผลและความจำเป็นเพียงพอ แต่เรากลับไม่เลือกที่จะทำด้วยวิธีการง่ายๆ แต่กลับเลือกที่จะลากประเทศไทยไปโชว์ความอ่อนหัดกลางสี่แยกไฟแดงของทวีปเอเชีย ให้ขายขี้หน้าชาติสมาชิกอีก 45 ประเทศ

ย้อนกลับไปดูในช่วงที่ “บิ๊กตู่” พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศยุบสภาไปแล้วนั้น ทาง ครม.ได้มีการขออนุมัติใช้งบกลางประจำปีเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน จากสถานการณ์ราคาพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากราคาไฟฟ้า ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ในลักษณะการให้ส่วนลดจากการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (FT) เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 ภายในกรอบวงเงิน 10,464 ล้านบาท

การเป็นเจ้าภาพกีฬาระดับเอเชียแบบนี้ นับเป็นเรื่องสำคัญเพราะถือว่าเป็นหน้าตาที่สำคัญของประเทศ ดังนั้น จึงไม่ผิดวัตถุประสงค์ของการของบกลางประจำปีมาใช้

อีกทั้งประเทศไทยให้ความสำคัญเรื่องของการจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติมาโดยตลอด เพราะว่ามันไม่ได้แค่มีเรื่องของการกีฬา แต่มันยังต่อยอดช่วยกระตุ้นเรื่องของการท่องเที่ยวภายในประเทศไทย รวมถึงเม็ดเงินที่จะสะพัดในช่วงแข่งขัน สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล

นอกจากนี้ หลายชนิดกีฬามีการเตรียมตัวสำหรับการเป็นเจ้าภาพเอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์เอาไว้เป็นอย่างดี ทั้งการเตรียมนักกีฬา หรือการปรับปรุงสนามแข่งขันไปแล้ว

การตัดสินใจยกเลิกการเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ของไทย มันแสดงถึงวิสัยทัศน์ผู้นำวงการกีฬาเมืองไทย เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องกีฬา

แต่มันยังมีเรื่องของเศรษฐกิจ, ความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ของประเทศไทยต่อสายตาชาติสมาชิกเอเชีย

อย่างไรก็ตาม คนในวงการกีฬามองว่ายังไม่สายเกินไปหากจะทบทวนกันอีกสักครั้ง อย่าปล่อยให้การยกเลิกการเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ครั้งนี้

เป็น “ตราบาป” ที่ไม่น่าจดจำของวงการกีฬาเมืองไทย!?!

Adblock test (Why?)