
ถ้าถามว่าปัจจัยสู่ความสำเร็จในทัวร์นาเม้นต์นี้มีอะไรบ้าง ในเชิงฟุตบอลแล้วมันก็สามารถค้นหาและจำแนกมันออกมาได้ตามธรรมชาตินะครับ แม้ว่าความกังวลใจในช่วงแรกของพวกเราคือระยะเวลาในการเตรียมทีมสั้นไปหน่อย
ตามหลักการบอลทัวร์นาเม้นต์แบบนี้ 14-21 วันสำหรับทีมชาติ ไม่ว่าจะเอเชียน คัพ, ยูโร,โกปา อเมริกา, แอฟริกัน เนชันส์ คัพ จนถึงบอลโลก เพื่อให้นักเตะต่างสโมสรที่ถูกเรียกมาติดทีมชาติได้รวมตัวกันระยะเวลาหนึ่ง
พอเหมาะพอดีไม่น้อยและมากเกินไป
ของเราอย่างที่ทราบพักไทยลีก 28 พ.ย. จากนั้นรายงานตัวแล้วบินเข้าสิงคโปร์ โดยมีเกมแรกวันที่ 5 ธ.ค. ไม่ถึง 7 วัน ตัดทอนเวลากักตัวไปหนึ่งวัน และโชคดีไม่มีขุมกำลังคนไหนติดเชื้อโควิดหลังจากตรวจอย่างละเอียด เท่ากับเราซ้อมกันประมาณ 4 วัน แถมยังไม่มี ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ธีราทร บุญมาทัน ซึ่งเจลีก ปิดซีซั่น 4 ธ.ค. สองคนนี้หมดสิทธิ์ร่วมทีมชาติไทยเกมแรกกับติมอร์ เลสเต ในแบบที่พูดกันเล่นๆแต่เป็นเรื่องจริงว่า "ซ้อมในสนามแข่ง"
ใช่ครับ 11 คนแรกของ มาโน โพลกิ้ง เกมแรก มันคือตัวเลือกที่เป็นเค้าโครงส่วนใหญ่ของทีมด้วยส่วนหนึ่งและเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ที่เราโชคดีได้เจอคู่แข่งขันที่ไม่แข็งแกร่งมากนักอย่างติมอร์ ที่เอาเด็กอายุ 17-23 มาเล่นรายการนี้
เกมแรกมันคือการซ้อมขึ้นบอล ขึ้นเกม ซึ่งแน่นอน ขลุกขลัก....โค้ชมือใหม่ป้ายแดง นักเตะยังขาดตัวหลักไปอีก สิ่งที่ต้องการคือผลแข่ง และบอลเกมแรกแถมทีมใหม่ โค้ชใหม่ มันยิ่งยากขึ้นกว่าเดิม
1 ไทยลีกและ เจลีก แข็งแกร่งกว่า
ลีกแข็งแกร่งทีมชาติแข็งแรง เป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ แต่สำหรับเพื่อนบ้านอาเซียนทั้งหมดนั้นเทียบกันแล้วไทยลีกของเรายังผลิตนักเตะระดับฝีเท้าคุณภาพออกมาไม่ขาดสาย นับจากก่อร่างสร้างตัวเป็นลีกอาชีพ
มาตรฐานตรงนี้ชัดเจน
เอสลีก สิงคโปร อาจดีในแง่การบริหารจัดการแต่คุณภาพส่วนฟุตบอลนั้นมีจำกัด ตัวเลือกมีน้อยทำให้การส่งเสริมก็ทำได้ยาก ถ้าไม่ใช้นักเตะโอนสัญชาติมาเล่นเหมือนช่วงสิบปีก่อนหน้านี้คงยาก
มาเลเซีย ซุปเปอร์ ลีก สมัยก่อนเรียก "เอ็มลีก" นี่คือลีกเก่าแก่สุดในย่านอาเซียนน่าจะดูดีที่สุด แฟนบอลหนุนทีมบอลสโมสรเหนียวแน่นก็จริง แต่พวกเขาก็มีปัญหาเรื่องความไม่ต่อเนื่องในการพัฒนาลีก ลุ่มๆดอนๆ แต่ยังเป็นทีมที่อันตรายสำหรับทุกชาติในอาเซียน
ลีกอินโดนีเซียคือ "ลีก1" พวกเขาเคยมีปัญหาเรื่องความขัดแย้งภายใน ทั้งตัวสมาคมฟุตบอลที่มีลีกทับซ้อนจาก ซุปเปอร์ ลีก , อินโดนีเซีย พรีเมียร์ลีก จนรัฐมนตรีกีฬาเข้าไปยุ่งกิจการภายใน เลยทำให้โดนฟีฟา แบนไปพักหนึ่ง จนปี 2017 ช่ือลีกสูงสุดคือ "ลีก1" นั่นแหละครับ
ด้วยสภาพประเทศเป็นเกาะและเดินทางไกลด้วย ทำให้ฟุตบอลแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า ทั้งที่คนชอบฟุตบอลหรือมีแพสชั่นฟุตบอลในอินโดนีเซียนั้นเยอะมาก เยอะกว่าไทยลีกแน่ๆ แต่การมีผู้ชมเยอะ ถ้าขาดการพัฒนาเชิงศาสตร์ฟุตบอลแถมมีความแตกแยกเกิดขึ้นกับฟุตบอลภายในประเทศ ทีมชาติคงพัฒนาไปได้ยาก สังเกตว่าอินโดนีเซีย ตอนนี้ตามหลัง3-4 ชาติใหญ่ในอาเซียนไปแล้วเรื่องฟุตบอล
การเลือกใช้ ชิน แท ยอง มาคุมทีมชุดนี้เพื่อจัดการปัญหาภายในของพวกเขา ซึ่ง แท ยอง ทำงานของเขาได้ดีมากในสองปี ทั้งชุดเล็กจนถึงชุดใหญ่ การเข้าชิงชนะเลิศเป็นผลงานของ แท ยอง
เวียตนาม...ยังคงเป็นลีกที่มีแฟนบอลเข้าสนามเยอะ สนับสนุนทีมและทำกันอย่างมีรูปแบบ แต่คงต้องปรับปรุงเรื่องเชิงเทคนิค, ทักษะส่วนตัว ซึ่งส่วนนี้เป็นรองไทยชัด พวกเขาได้เรื่องวินัย นักเตะมีทัศนคติดีมากสั่งซ้ายหัน ขวาหัน ทำตามโค้ช เล่นเป็นกลุ่มแทกติกได้ดี แต่สุดท้ายพอขาดส่วนสำคัญคือชั้นเชิงฟุตบอล จังหวะได้เสียก็เลยเป็นรองทีมไทย
โดยภาพรวมลีกไทยของเราอาจเป็นรองเพื่อนบ้านเรื่องบรรยากาศการเชียร์ที่แฟนบอลเข้าสนามไม่เยอะเท่า วีลีก, มาเลเซีย ลีก หรืออินโดนีเซีย แต่เรื่องของเกมการเล่น ความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะไทยที่ผ่านไทยลีกดีกว่า
เมื่อบวกกับ มุ้ย, อุ้ม, เจ สามนักเตะที่เคยเล่นในเจลีก มาเราก็เหมือนมีตัวพิเศษที่เหนือกว่าเพื่อนบ้านอาเซียนไปอีกขั้นหนึ่ง
ไทยลีก, เจลีก สะท้อน "คุณภาพ" นักเตะทีมชาติไทยชุดนี้
ผมยกให้ปัจจัยที่สำคัญอันดับแรกเลยครับ
2 คู่แข่งมีแค่....เวียตนาม
ถ้าวัดกันถึงมาตรฐานฟุตบอลในซูซูกิ คัพ ครั้งนี้ทีมสกุลเหงียนดูมีคุณภาพและสร้างความลำบากใจให้ทีมไทยมากที่สุด ปาร์ค ฮัง ซอ ทำหน้าที่ของเขาได้ดีในช่วงเวลาสี่ปีทั้งระดับยู 23 จนถึงแชมป์ซูซูกิ คัพ เมื่อครั้งก่อน
แม้รอบรองชนะเลิศแพ้ไทย 2-0 โดยเกมแรกทีมไทยจบสกอร์ได้เด็ดขาดและเวียตนามพลาดเองในประตูแรก แต่ด้วยวิธีการเล่นเพรสซิง การเล่นบอลแดนสอง เพื่อกดให้ทีมไทยรับจนไม่ได้โต้เลย ตลอดครึ่งหลังของเกมแรกและอีก 90 นาทีของเกมนัดสอง
พวกเขาคือทีมที่เล่นด้วยยากสุดในอาเซียนไปแล้ว
จุดที่ โค้ช ปาร์ค น่าโดนตำหนิคือ เขาไม่อยู่กับเกมตัวเองเท่าไหร่ เขาคอยเร่งเร้า กดดันให้นักเตะตัวเองไล่เตะ นักเตะไทย แถมด่ากรรมการแทบจะทุกจังหวะที่มีการฟาวล์ เข้าใจว่าอยากชนะทีมไทยแต่จิตวิทยาเหล่านั้นเป็นแค่ตัวเสริม....วิธีการเล่นที่พวกเขาเคยทำได้ดีหายไปเพราะเน้นเรื่องนอกเกมมากกว่าในเกม ถ้าโค้ชปาร์ค ทำให้ เวียตนามเล่นตามเกมของตัวเองได้ ผมคิดว่าเป็นงานยากกว่าปกติที่ไทยจะชนะพวกเขาง่ายๆ
ดังนั้นเมื่อปราบเวียตนามได้จากจังหวะความเด็ดขาดในการจบสกอร์ของทีมไทย ทำให้นัดชิงชนะเลิศเหมือนเจอทีมยู 20+23 ของอินโดนีเซีย เลยเป็นงานไม่ยาก เกมแรกชัดเจน ทีมไทยเล่นได้อย่างสบายใจ
แม้อินโดนีเซีย มีความอันตรายเรื่องเกมสวนกลับ และความมุ่งมั่นในการเล่นจากนัดสอง แต่จากการตั้งรับในแดนแต่ไม่รัดกุมมากพอ ทำให้ช่องว่างพื้นที่ว่างเยอะแยะเลย พวกเขาก็เลยโดนทีมไทยโจมตีอย่างไม่ยากลำบากอะไรในเกมแรก สกอร์มันขาด เกมสองทีมไทยก็เล่นง่ายมีตุนไว้สี่ลูก แต่ทีมอินโดนีเซียชุดนี้มีโอกาสพัฒนา อายุยังน้อย ต้องยอมรับว่า แท ยอง กล้าใช้เด็กเล่นเพื่อประโยชน์ระยะยาว
3 มาโน โพลกิ้ง
ความรู้ในบอลไทยลีก, วิธีการเล่นของทุกสโมสร และนักเตะ 29-30 คนที่เรียกมาติดทีมทำให้ มาโน ไม่ต้องคิดมากเรื่องการวางแทกติก แม้การเตรียมทีมอาจจำกัดมีเวลาไม่นาน แต่ มาโน รู้จักนักบอลไทยเป็นอย่างดี
เขามีรูปแบบการเล่นของตัวเองอยู่แล้ว...เขาจับนักเตะลงเล่นตามเกมของเขา นั่นทำให้งานของเขาก็ออกมาในแบบที่เราเห็น อีกอย่าง มาโน ไม่ใช้แทกติกล็อคหรือจำกัดความสามารถของนักเตะไทย
เขามีแทกติกไว้เป็นโครง ไม่ได้สั่งซ้ายหัน ขวาเหมือน โค้ช ปาร์ค ฮัง ซอ ดังนั้นนักเตะเราจึงมีอิสระในการเล่นเกม โดยเฉพาะเกมรุก แม้ภาพออกมาไม่ชัดเจนว่า มาโน เล่นเกมรุกแบบไหน แต่นักเตะของเราเล่นเกมรุกได้ตามจังหวะและสถานการณ์ข้างหน้า
อีกเรื่องหนึ่งคือ จิตวิทยาของ มาโน เขาคลุกคลีกับคนไทยมาตลอดสิบปี เขารู้วิถีคนไทย, นักเตะไทย เป็นอย่างดี นั่นก็ส่วนหนึ่งแต่การที่เขาสามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นนัดละ 5-6 คน ในเกมสำคัญแสดงว่าเขามั่นใจคุณภาพนักเตะไทยว่าชุดแรกกับชุดสองห่างกันไม่มาก ทดแทนกันได้
ที่ต้องยอมรับคือเขา "ซื้อใจ" นักเตะได้ด้วย โดยเกมที่เปลี่ยน กวินทร ธัมมสัจจานันท์ ลงเล่นแทน ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน นี่ชัดเลย คือบริบทแบบคนไทยของเราสำหรับการสูญเสียครั้งสำคัญในชีวิตของ ตอง กำลังใจคือสิ่งที่เขาต้องการที่สุด มาโน ทำให้แฟนบอลไทยที่ชมทางช่อง7 เห็นว่าเขากำลังทำอะไรในการเปลี่ยน ตอง ลงสนาม โดยไม่ต้องอธิบาย แฟนบอลเข้าใจ ทุกคนเห็นใจและให้กำลังใจ ตอง ซึ่งมุมนี้ถ้าเป็นฝรั่ง บอลนอกคงไม่มีเรื่องแบบนี้ให้เห็น ส่วนใหญ่เขาก็จะปล่อยนักเตะกลับไปบ้านเลย เพราะสมาธิ สภาพจิตใจนันไม่เหลือสำหรับฟุตบอลแล้ว
บอลประสบความสำเร็จก็ต้องยกเครดิตให้โค้ชอยู่แล้ว มาโน คือเหตุผลนั้น
4 มาดามแป้ง
ภาพต่างๆที่ปรากฏออกสื่อ ทั้งเรื่องการสร้างความรัก ความสามัคคีในทีม บรรยากาศที่ผ่อนคลาย การจับสลากให้ของรางวัล เป็นสินน้ำใจ มันมีค่ามากกว่าของที่ได้ เพราะ "จิตใจ" ของนักเตะนั้นรวมเป็นหนึ่งเดียว
เอกภาพของทีมตรงนี้คือสิ่งที่ มาดามแป้ง มาช่วยด้วยส่วนหนึ่ง นอกเหนือจากงานในสนามของโค้ช เชิงจิตวิทยาเมื่อทีมบอลเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความเป็นทีมมันปรากฏออกมาในสนามได้
มาดาม อยู่กับฟุตบอลมา 15 ปี มีทั้งความรู้และประสบการณ์ในเรื่องการบริหารทีมบอล มีแพสชั่นในเกมฟุตบอลอย่างเต็มที่ เมื่อนำออกมาใช้อย่างถูกจุดมันก็ช่วยได้ อันนี้หมายถึงทีมชาตินะครับ ไม่ใช่สโมสร เดี๋ยวทุกคนจะบอกว่า แล้วทำไมท่าเรือไม่เห็นได้แชมป์ มันคนละประเด็นกันนะครับ
อันนี้ผมไม่ได้อวยไส้แตก...ก็ว่ากันตามหน้างานที่เห็น
ทั้งหมดนี้คือ 4 ปัจจัยที่ทำให้ทีมไทยเดินหน้าเข้าหาความสำเร็จในอย่างแชมป์ภูมิภาค
กระนั้นก็ตาม.....การได้แชมป์อาเซียน เป็นเพียงแค่การก้าวเดินไปยังสมรภูมิลูกหนังโลก ยังไม่ใช่ความสำเร็จอะไรมากมายขนาดนั้น อย่ามองเป็นกระแสแชมป์ทีมไทยเลยครับ
เราควรพัฒนาไปต่อ...ไม่ควรพอใจแค่แชมป์อาเซียน
มาโน โพลกิ้ง เป็นฮีโรเฉพาะกิจที่เข้ามาทำงานชั่วคราวพร้อมทั้งโอกาสถาวรนับจากนี้่ ทุกคนกำลังอิ่มเอมกับความสำเร็จแต่ที่ต้องระวังคือ "แชมป์ซูซูกิ คัพ" เป็นเป้าหมายของบอลไทย
การได้แชมป์คือเรื่องที่น่ายินดี.....แต่นับจากนี้ มาโน จะไปต่อระดับทวีปได้อย่างไร มันมีเอเชียนคัพ รอบคัดเลือกรออยู่และงานของ มาโน กับทีมชาติจะมีความยากขึ้นหลายเท่านับจากนี้
ถามผมนะครับ....เรายินดีกับนักเตะและโค้ชและทีมงานทุกคนที่ทำให้คนไทยมีความสุขในช่วงปีใหม่กับแชมป์รายการนี้ อย่างไม่ต้องสงสัย
กระนั้นนี่คือแชมป์ที่เราคาดหวังอยู่แล้วว่ามันควรได้ มันต้องได้สำหรับคุณภาพนักเตะไทย แต่ถ้าจะไปต่อให้ไกลกว่านี้
บอลระดับเยาวชน เราพัฒนากันมากขนาดไหน , สอนเด็กกันยังไง, สโมสรทุกทีมในไทยลีก ได้มีการร่วมมือกันพัฒนาเชิงเทคนิคฟุตบอลให้ไปในแนวทางเดียวกันเหมือน บุนเดสลีกา, ลา ลีกา, กัลโช กระทั่งลีกเอิงหรือไม่
เท่าที่เห็น "คนละทิศละทาง"
ทุกทีมทุกสโมสรต่างมี my way ในการทำทีมเพื่อแชมป์ ไม่ได้พัฒนาเชิงเทคนิคและแทกติกฟุตบอลตามศาสตร์ แล้วทีมชาติจะได้ประโยชน์อะไรจากแนวทางของแต่ละสโมสรไทยลีกสร้างมาเกินสิบปี เท่าที่เห็นอยู่นะครับ....ทุกอย่างยังวนเวียนอยู่ที่เดิม คือแชมป์ suzuki cup
เอาใกล้ๆนี่แหละ ช่วงโค้ชซิโก เข้ามาสร้างทีมยู23 ถึงชุดใหญ่จนมีความสำเร็จเป็นรูปธรรม คัดเลือกรอบสุดท้ายโซนเอเชียเพื่อไปบอลโลก2018 ,เล่นเอเชียน คัพ 2019 ได้ ทว่าจากนั้นทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม
ทีมเยาวชนไทยตกรอบทุกชุดแพ้แม้กระท่ังเพื่อนบ้าน, ซูซูกิ พลาดแชมป์ บอลโลกก็ไม่ได้ไปรอบ 12 ทีม ให้เวียตนามที่พัฒนาทีหลังแซงหน้าไปก่อน
ดังนั้นถ้าจะหาความสำเร็จระดับที่สูงกว่าแชมป์ซูซูกิ มันต้องออกแรงมากมาย ทุ่มเทจริงจัง พัฒนาต่อเนื่องตั้งแต่เยาวชนจนถึงไทยลีก ทุกคนต้องร่วมมือกันตั้งแต่สมาคมฟุตบอล, สโมสรไทยลีก, บุคลากรฟุตบอลที่มีความรู้ มีความสามารถ ทำงานกันเป็นทีมเพื่อภาพรวมทั้งหมดด้วยเป้าหมายเดียวกัน
เมื่อนั้นเราจึงจะมีโอกาสก้าวไปต่อในระดับทวีป
หรือว่าเราจะพอใจกันอยู่แค่ตรงนี้
อ่านบทความและอื่น ๆ ( แชมป์Suzukicup! ความสำเร็จระดับภูมิภาค! - สยามกีฬา )https://ift.tt/3qFxrKL
กีฬา
Bagikan Berita Ini
0 Response to "แชมป์Suzukicup! ความสำเร็จระดับภูมิภาค! - สยามกีฬา"
Post a Comment