Search

GCNT FORUM 2020 หนุนทุกฝ่ายรวมพลังพาไทย บรรลุเป้าหมายพัฒนายั่งยืน - ฐานเศรษฐกิจ

lamundress.blogspot.com

เมื่อวันที่ 31ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน "GCNT FORUM 2020 :Thailand Business Leadership for SDGs ในโอกาสฉลองครบรอบ 20 ปี เครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งสหประชาชาติ และครบรอบ 75 ปี ขององค์การสหประชาชาติ (United Nations - UN)

งานดังกล่าวจัดโดย สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานผู้แทนสหประชาชาติประจำประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ และผู้สนับสนุนของสมาคมฯ ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรสมาชิกของสมาคมฯ ผนึกกำลังเพื่อร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19 พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี พร้อมผู้แทนสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย ยังร่วมเป็นสักขีพยานการประกาศเจตนารมณ์ขององค์กรสมาชิกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ให้คำมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และจะลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนรวม 998 โครงการ มูลค่ารวมอย่างน้อย 1.2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2573

ชูศก.พอเพียง“ภูมิคุ้มกัน”ชาติ

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “วิถีคิดผู้นำในสถานการณ์วิกฤติ ประสบการณ์จากสถานการณ์โควิด-19” โดยเน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน ว่า “ประเทศไทยโชคดีที่มี “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวทางการพัฒนาประเทศ สร้างความเข้มแข็งจากภายในและฐานราก ซึ่งสอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ให้ความสำคัญกับ “การพัฒนาคน” และ “ความมั่นคงของมนุษย์”เพื่อให้ทุกคนในชาติมีภูมิคุ้มกัน พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมยังชื่นชมบทบาทของภาคเอกชนในการสร้างความตระหนักรู้และร่วมมือกันบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs) ต่างๆ โดยเฉพาะเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งสหประชาชาติ) สามารถมีบทบาทสำคัญได้อย่างแน่นอน ในการระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ สอดคล้องกับหลักการที่เป็นสากล10ประการของสหประชาชาติ ทั้งในด้านสิทธิมนุษยชน มาตรฐานแรงงาน การปกป้องสิ่งแวดล้อม และการต่อต้านการทุจริต เป็นต้น

โดยในส่วนของรัฐบาลไทยถือเป็นพันธมิตรสำคัญในการฟื้นฟูประเทศให้ดีขึ้นจากวิกฤติโควิด-19  โดยนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ มายึด โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนเป็นรากฐานที่เข้มแข็งของสังคมและธุรกิจ


“3หมุดหมาย”ฝ่าวิกฤติยั่งยืน

นายกรัฐมตรี ยังกล่าวว่า ภายใต้ความปกติใหม่ (นิวนอร์มอล) แนวทางที่รัฐบาลจะดำเนินการประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1.การผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมวางอนาคตของประเทศไทย โดยนำทุกภาคส่วน เข้ามามีส่วนร่วมกำหนดอนาคตของประเทศ มีการจัดตั้ง “คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” แก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ 2.เปิดให้มีการประเมินผลงานภาครัฐ และ3.การทำงานเชิงรุก แบบบูรณาการข้ามหน่วยงาน กระทรวง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง

"การนำพาประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤติอันท้าทาย รัฐบาลต้องดึงศักยภาพของประเทศออกมาใช้ โดยระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ให้ความสำคัญกับ3ด้าน คือระบบสาธารณสุขเข้มแข็ง,การรับมือกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจโดยแก้ปัญหาเร่งด่วนมาเป็นลำดับมีมาตรการเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนและเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านเงินกู้วงเงิน1ล้านล้านบาท และ3.ใช้วิกฤติสร้างโอกาสนำพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลง ฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า รัฐบาลไทยกำลังขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ที่เรียกว่า “Bio-Circular-Green Economy” หรือ BCG คือการส่งเสริมเศรษฐกิจใหม่ ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว โดยการน้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน สร้างความเข้มแข็งจากภายในเชื่อมไทยสู่โลก วางรากฐานพัฒนาคุณภาพใน 5 มิติ ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางสาธารณสุข ความมั่นคงทางพลังงาน หลักประกันการมีงานทำ และความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เครือข่ายธุรกิจยั่งยืน

นายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมโกลบอลคอมแพ็ก แห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand Thailand -GCNT) เครือข่ายด้านความยั่งยืนใหญ่ที่สุดในไทย กล่าวปาฐกถาว่า เครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งสหประชาชาติ ประกอบด้วย สมาชิกกว่า12,000 องค์กร ใน 156 ประเทศ ก่อตั้งขึ้นครบ20ปี เพื่อระดมพลัง ของภาคเอกชนทำธุรกิจคำนึงถึงเพื่อนมนุษย์ หรือ “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” ภายใต้หลักสากล 10 ประการ ครอบคลุมเนื้อหา 4 ด้าน ได้แก่ สิทธิมนุษยชน สิทธิของแรงาน การรักษาสิ่งแวดล้อม และการต่อต้านการทุจริต

โดยปัจจุบันในไทยมีสมาชิกเกือบ 60 องค์กร มูลค่าบริษัทสูงถึงประมาณ 4.2 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่ามีศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ทั้งในไทยและในทุกประเทศที่บริษัทสมาชิกลงทุน

ทั้งนี้ ถือเป็นความท้าทายเมื่อเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 เข้ามาซ้ำเติมส่งผลทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องระดมสรรพกำลังให้ขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนายั่งยืน 17 ข้อ ของสหประชาชาติภายในปี2573 หรือ ในอีก10ปีข้างหน้า ถือเป็น “ทศวรรษแห่งการลงมือทำอย่างจริงจัง”  ผลักดันให้โลก“พื้นตัวได้ดีกว่าเดิม”โดยไทยถือเป็นผู้นำในอาเซียนที่ร่วมมือกับสหประชาชาติ สร้างความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสิ่งที่ไทยได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการร่วมแรงร่วมใจฝ่าวิกฤติ ทำให้มีการติดเชื้อโควิด และสูญเสียชีวิตน้อยมากเมื่อเทียบนานาประเทศ ซึ่งเกิดจากผู้นำประเทศกล้าตัดสินใจ มีนโยบายเด็ดขาด ชัดเจน จึงทำให้ก้าวผ่านวิกฤติมาได้สำเร็จ

ทุ่ม1.2ล้านล้านลุยการพัฒนายั่งยืน

ทั้งนี้สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยสมาชิกทั้งภาคธุรกิจ สมาคม มูลนิธิและองค์กรไม่แสวงหากำไรกว่า 21 องค์กร พร้อมวางแผนลงทุนใน 998 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 1.262 ล้านล้านบาท ใน10ปีข้างหน้า(ปี2573)ฟื้นฟู และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป็นผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลง ให้ทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์สุข และตระหนักรู้ถึงปัญหาร่วมประกาศเจตนารมณ์แสดงพลังของภาคเอกชนไทยและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมแสดงจุดยืนปรับตัว รับมือกับความท้าทายของวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ดึงพันธมิตรจากทุกภาคส่วนฟื้นฟูเศรษฐกิจและ

////////

 

เปิดโมเดลธุรกิจ  สิทธิแรงงาน-สิ่งแวดล้อม-ต่อต้านทุจริต สู่เป้าหมาย SDGs

นอกจากจะมีการประกาศเจตนารมณ์ขององค์กรสมาชิกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ให้คำมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และจะลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนรวม 998 โครงการ มูลค่ารวมอย่างน้อย 1.2 ล้านล้านบาทแล้ว ภายในงานที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา ในช่วงบ่าย มีการเสวนาว่าด้วยองค์กรธุรกิจกับการพัฒนาที่ยั่งยืนใน 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ ด้านสิทธิมนุษยชนและแรงงาน ด้านสิ่งแวดล้อม  และด้านการต่อต้านการทุจริต

  • ซีพีเอฟยึดภารกิจ

ในเวทีเสวนาด้านสิทธิมนุษยชนและแรงงาน ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวตอนหนึ่งถึงบทบาทธุรกิจต่อการช่วยเหลือแรงงานในช่วงโควิด-19 ว่า ซีพีเอฟเป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตอาหาร มีโรงงานใน 17 ประเทศ และส่งออกอาหารไปสู่ประเทศที่ไม่มีการตั้งโรงงานอีก 30 ประเทศ ซึ่งทุกวงจรการผลิตได้เกิดการจ้างงานร่วม 1 แสนรายทั่วโลก ซึ่งในช่วงโควิด-19 เครือซีพีได้ประกาศนโยบายชัดเจนคือไม่มีการปลดคนออก เนื่องจากมองว่าเครือซีพีเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่ไม่สร้างผลกระทบกับวงจรชีวิตของแรงงานซ้ำเติมใครอีก ทั้งยังยืนยันถึงแนวทางเดิมในการดูแลพนักงาน เช่น การมีนโยบายให้สวัสดิการแหล่งเงินทุนพิเศษให้กับพนักงานที่มีปัญหาทางการเงิน หรือมีสมาชิกคนใดในครอบครัวต้องหยุดงาน ออกจากงานการซื้อประกันภัยโควิด-19 ให้พนักงานซึ่งหน้าที่ที่ต้องติดต่อกับบุคลภายนอก เพิ่มเติมจากสวัสดิการที่มีอยู่แล้ว

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อช่วยเหลือพนักงานในขั้นแรกแล้ว องค์กรได้กลับมาทบทวนว่าภารกิจหน้าที่หลักขององค์กรคืออะไร ซึ่งหน้าที่หลักคือการผลิตอาหารให้เพียงพอให้ได้ ส่งเสริมให้ประเทศเป็นครัวโลก ดังนั้นต่อให้เกิดสถานการณ์โรคระบาดเช่น โควิด-19 ก็ต้องยึดมั่นที่จะทำภารกิจนี้ต่อไป

ในช่วงวิกฤติกระบวนการภายในต้องปรับปรุงเยอะและยืดหยุ่น ใช้กระบวนการดูแลความสะอาด ความปลอดภัยอาหารให้มาตรฐานดีมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เริ่มตั้งแต่การนำรถรับ-ส่งพนักงานเข้าโรงงาน ตรวจวัดไข้ ดูแลความสะอาดก่อนขึ้นรถ ซึ่งเพิ่มเติมมากไปกว่ากระบวนการด้านความสะอาดแบบปกติ พยายามใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่สร้างความปลอดภัยให้กับสังคมมากที่สุด เช่น การทำแอพพลิเคชั่นเพื่อสื่อสารกับกลุ่มคนที่กักตัว ให้มีอาหารบริโภคได้เพียงพอโดยไม่จำเป็นต้องออกจากบ้าน ผ่านบริการเดลิเวอรี่ ซึ่งทั้งอาหารสด อาหารแห้ง อาหารพร้อมรับประทาน การร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อขอสนับสนุนอาหารให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ในจำนวน 200 จุดที่มีการรักษาผู้ป่วยและกักตัวจากโรค การลดราคาอาหารจำนวน 4 ล้านชิ้น ออกโปรโมชั่นไข่ไก่ราคาพิเศษจำกัดจำนวนการซื้อเพื่อช่วยเหลือประชาชน

  • หนุนระบบผลิตอาหารไร้มลพิษ

ขณะเสวนาด้านสิ่งแวดล้อม แดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อาหารแห่งอนาคตจะใช้กระบวนการผลิตจากนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญต่ออาหารสุขภาพ รวมทั้งยังคำนึงถึงแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์อาหารสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนใดๆในกระบวนการผลิต

นายแดน กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงระบบอาหารเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้โลกยั่งยืนมากขึ้น โดยกลยุทธ์หลักองค์กรจะมุ่งเน้นกระบวนการผลิตเพื่อสร้างความยั่งยืนและให้ความสำคัญกับการจัดการห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Sustainable Supply Chain) ตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อ การผลิต จัดเก็บ ขนส่งและจัดจำหน่าย ซึ่งต้องไม่ปล่อยสารพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

  • ใช้ระบบปิดป้องกันทุจริต

สำหรับเวทีเสวนาสุดท้ายซึ่งเป็นหัวข้อด้านการส่งเสริมบรรษัทภิบาลและการต่อต้านทุจริต นาถฤดี โฆสิตาภัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.สผ.มีภารกิจในการเข้าไปสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ ดังนั้นจึงต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ ให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียให้ได้รับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกันภายใต้การดูแลกำกับกิจการที่ดี

บริษัทมีเป้าหมายชัดเจนคือการเป็น Zero Non-Compliance เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการจัดการ โดยใช้ระบบปิดทั้งหมดในการจัดซื้อจัดจ้าง ระบบวิเคราะห์การลงทุน ระบบวิเคราะห์ความเสี่ยง การมี Zero Corruption เพื่อไม่ให้มีช่องทางการทุจริตใดๆ ซึ่งทั้งหมดต้องมีการวางกลยุทธ์ที่เรียกว่า GRC in Common Sense ซึ่งเน้นกระบวนการกำกับดูแล ซึ่งเมื่อกระบวนการดีแล้ว ผู้ที่เข้าไปมีส่วนร่วมก็ต้องเข้าใจถูกต้องด้วย

 องค์กรจึงต้องสร้างการรับรู้ ตั้งภายในคือพนักงาน คณะกรรมการบริษัท ไปถึงผู้บริหารระดับสูง ขณะที่ภายนอกต้องขยายแนวคิดให้ไปถึงคู่ค้า เช่น มีการจัดทำคู่มือให้กับคู่ค้า ให้ทางคู่ค้าทำ E-Learning เรื่องการต่อต้านคอร์รัชั่น ซึ่งที่ผ่านมา ปตท.สผ มีกระบวนการดูแลอย่างเข้มข้นทั้งภายในและภายนอกต่อเนื่อง และได้รับคัดเลือกติดอันดับดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6

  • 86 ล้านบาทหนุน SDGs

นายวีระชัย คุณาวิชยานนท์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า สภาอุตฯในฐานะตัวแทนผู้ประกอบการด้านเอกชนเห็นความสำคัญของหลักจริยธรรม จรรยาบรรณเพื่อเป็นบรรษัทภิบาล และในช่วงโควิด-19 สภาฯมีคณะกรรมการฟื้นฟูหลังโควิด ซึ่งมีความเห็นร่วมกันว่าประเภทธุรกิจที่จะเป้าหมายหลักจากนี้คือ ธุรกิจในอุตสาหกรรมดิจิตอล อุตสาหกรรมสุขภาพ เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ โลจิสติกส์ หุ่นยนต์ ไบโออีโคโนมี

สภาอุตฯ วางแนวทางสนับสนุนสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย มุ่งเน้นการจัดซื้อจัดจ้างโดยกรมบัญชีกลาง  เน้นการใช้สินค้าไทยเป็นอันดับแรกก่อน เน้นการพัฒนา Supply Security ลดการพึ่งพิงชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งแม้ระยะแรกต้นทุนในการผลิตอาจสูงเมื่อเทียบกับการนำเข้า แต่จำเป็นต้องหาแนวทางมาส่งเสริมเพื่อเพิ่มกำลังผลิตในประเทศ

นายวีระชัย กล่าวว่า สภาอุตฯ ยังร่วมเป็นคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งได้ส่งเสริมการพัฒนาและดำเนินการร่วมกับภาครัฐในการขับเคลื่อน SDGs 17 เป้าหมาย เน้น 4 เป้าหมายในเวลา 10ปี รวมวงเงินประมาณ 86 ล้านบาท ได้แก่ เป้าหมายที่ 6 การจัดการน้ำและสุขภิบาลจำนวน 2 โครงการ เป็นเงิน 26 ล้านบาท การขับเคลื่อนเป้าหมายที่ 7 ด้านพลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้ จำนวน 2 โครงการ เป็นเงิน 21.6 ล้านบาท เป้าหมายที่ 13 การรับมือความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จำนวน 2 โครงการ เป็นเงิน 7 ล้านบาท  และเป้าหมายที่ 12 แผนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน จำนวน 9โครงการ เป็นเงิน 31.8 ล้านบาท





September 02, 2020 at 07:53PM
https://ift.tt/2Gq82kH

GCNT FORUM 2020 หนุนทุกฝ่ายรวมพลังพาไทย บรรลุเป้าหมายพัฒนายั่งยืน - ฐานเศรษฐกิจ

https://ift.tt/3hbQyqg


Bagikan Berita Ini

0 Response to "GCNT FORUM 2020 หนุนทุกฝ่ายรวมพลังพาไทย บรรลุเป้าหมายพัฒนายั่งยืน - ฐานเศรษฐกิจ"

Post a Comment

Powered by Blogger.