กลายเป็นมรสุมลูกใหญ่ที่ทำให้ราชวงศ์อังกฤษถึงขั้นสั่นสะเทือนเลยทีเดียว เมื่อ “เจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์” ควงพระชายา “เมแกน มาร์เคิล” ออกมาเปิดใจให้สัมภาษณ์กับพิธีผิวสีคนดัง “โอปราห์ วินฟรีย์” ถึงสาเหตุที่ตัดสินใจทิ้งความเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสหรัฐอเมริกา โดย เมแกน นั้นทิ้งระเบิดลูกใหญ่ด้วยการแฉพฤติกรรมเหยียดผิวของคนในราชวงศ์ ซึ่งทำให้ตัวเธอเองถึงขั้นอยากจะลาโลก ขณะที่เจ้าชายแฮร์รีก็ทรงตัดพ้อญาติมิตรที่ไม่ให้ความช่วยเหลือและเข้าอกเข้าใจพระองค์กับชายามากพอ
การให้สัมภาษณ์ของ “คู่รักซัสเซกซ์” ครั้งนี้เรียกความสนอกสนใจจากผู้คนทั่วโลก และทันทีที่บทสัมภาษณ์ตัวเต็มถูกออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ CBS เมื่อช่วงหัวค่ำของวันอาทิตย์ที่ 7 มี.ค. ตามเวลาสหรัฐฯ ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่มทั้งในแง่ดีและร้าย บรรดาชาวเน็ตและผู้มีชื่อเสียงหลายคนต่างโพสต์ข้อความให้กำลังใจดาราสาวลูกครึ่งผิวสีที่โชคชะตานำพาให้พบรักกับเจ้าชายแห่งเมืองผู้ดี แต่ก็มีคนอีกไม่น้อยที่มองว่าทั้งคู่ต้องการสร้างกระแสเพื่อหารายได้ โดยไม่แคร์ว่าชื่อเสียงของราชวงศ์จะป่นปี้ขนาดไหน
สื่อ CBS ยืนยันว่าบทสัมภาษณ์พิเศษนี้ดึงดูดผู้ชมทั่วโลกถึง 49.1 ล้านคน โดยเป็นผู้ชมในอเมริกา 17.8 ล้านคน ถือเป็นรายการบันเทิงที่มียอดผู้ชมสูงที่สุดรองจากการประกาศผลรางวัลออสการ์เมื่อเดือน ก.พ.ปี 2020 (ผู้ชม 23.6 ล้านคน) และยังเป็นรายการในช่วงเวลาไพรม์ไทม์วันอาทิตย์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปี หากไม่นับการแข่งขัน ‘ซูเปอร์โบว์ล’ ซึ่งจะมีผู้ชมประมาณ 100 ล้านคน และถือเป็นรายการทีวีที่มีเรตติ้งสูงสุดในสหรัฐอเมริกา
ด้วยความสนใจที่ล้นหลามขนาดนี้จึงทำให้แฮชแท็ก #HarryandMeghanonOprah ติดเทรนด์ Top 5 ในทวิตเตอร์ทั่วโลก ทั้งระหว่างและหลังการออกอากาศบทสัมภาษณ์ ขณะที่ #Abolishthemonarchy ก็เป็นแฮชแท็กที่มีผู้ทวีตมากถึง 11,200 ครั้งในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง
เจ้าชายแฮร์รีและ เมแกน ประกาศยุติการปฏิบัติพระกรณียกิจในฐานะเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของอังกฤษเมื่อต้นปีที่แล้ว โดยตอนนั้นทรงให้เหตุผลว่าต้องการ “อิสรภาพทางการเงิน” และอยากจะทำงานหาเงินด้วยตัวเอง
บทสัมภาษณ์ครั้งนี้ไม่เพียงเปิดเผยความตึงเครียดภายในราชวงศ์อังกฤษเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความชิงชังที่เจ้าชายแฮร์รีมีต่อสื่ออังกฤษ โดยเฉพาะพวกสื่อซุบซิบแท็บลอยด์ที่ตามจิกกัดความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับเมแกน มาตั้งแต่ต้น
เมแกน วัย 39 ปี บอกกับ วินฟรีย์ ว่า ตัวเธอเองเริ่มคบหากับเจ้าชายแฮร์รีอย่างคนที่ “ไร้เดียงสา” และแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตเจ้าตอนที่เข้าพิธีเสกสมรสเมื่อปี 2018 แต่สิ่งต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาหลังจากนั้นทำให้เธอเป็นทุกข์หนักถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย และเธอไม่เคยได้รับความช่วยเหลือใดๆ จากคนในราชวงศ์เลย
ราชวงศ์หวั่น ‘อาร์ชี’ ผิวคล้ำ-ไม่มอบยศ ‘เจ้าชาย’
เมแกน ซึ่งมีแม่เป็นชาวอเมริกันผิวสีและพ่อเป็นคนผิวขาว ยังสร้างความตกตะลึงด้วยการเปิดโปงว่ามี “สมาชิกราชวงศ์อังกฤษคนหนึ่ง” แสดงความกังวลว่า “อาร์ชี แฮร์ริสัน เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์” บุตรชายของเธอกับเจ้าชายแฮร์รี อาจเกิดมามีผิวคล้ำตามเผ่าพันธุ์ทางมารดา ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดมาก และเธอเชื่อว่าทัศนคติเหยียดผิวนี้เองที่ทำให้ทางวังปฏิเสธที่จะมอบพระยศ “เจ้าชาย” ให้แก่ อาร์ชี ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิด
“พวกเขาไม่ต้องการให้ (อาร์ชี) ได้เป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิง...ตอนนั้นยังไม่รู้เพศ... ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากธรรมเนียมปฏิบัติ และทางวังยังปฏิเสธที่จะให้การอารักขากับเขาด้วย” เมแกน เอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ในขณะที่ฉันกำลังตั้งครรภ์อยู่ เราก็ได้รับการบอกกล่าวว่า ‘ลูกของเธอจะไม่ได้รับบรรดาศักดิ์ และไม่ได้รับการอารักขา’ นอกจากนั้น ก็ยังมีบางคนที่เป็นห่วง และพูดในทำนองว่าเขาจะเกิดมามีผิวสีคล้ำหรือไม่”
เมแกน ปฏิเสธที่จะเผยชื่อบุคคลดังกล่าว โดยระบุว่า “ถ้าพูดไปคงจะทำให้เขาเสียหายมาก ฉันเองก็ได้ยินต่อมาจากแฮร์รีอีกทีว่าคนในครอบครัวเคยพูดกับเขาแบบนั้น”
ด้านเจ้าชายแฮร์รีพูดถึงประเด็นนี้ว่า “ผมคงจะไม่นำบทสนทนานั้นมาเล่าผ่านสื่อ แต่ตอนนั้นยอมรับว่าผมอึ้ง ผมช็อคไปเลยเหมือนกัน”
วินฟรีย์ ให้สัมภาษณ์กับ CBS เมื่อวันจันทร์ (8) ว่า เธอได้รับคำยืนยันจากเจ้าชายแฮร์รีว่าผู้ที่ตั้งคำถามเรื่องสีผิวของ ‘อาร์ชี’ นั้นไม่ใช่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 หรือเจ้าชายฟิลิป พระสวามีอย่างแน่นอน
‘เมแกน’ เคยคิดฆ่าตัวตาย
“ฉันรู้สึกว่าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว และนั่นเป็นความคิดชั่ววูบที่เกิดขึ้นบ่อยอย่างชัดเจน จริงจัง และน่ากลัว ฉันยังจำได้ว่าแฮร์รีต้องเข้ามากอดและปลอบโยนฉัน” เมแกน ให้สัมภาษณ์ พร้อมยืนยันว่าเคยทูลขอคำปรึกษาจากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงบางพระองค์เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับถูกเพิกเฉยไม่ดูดำดูดี
“ฉันได้คุยกับสมาชิกในราชวงศ์ และบอกพวกเขาว่า ฉันคงต้องไปที่ไหนสักแห่งเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่พวกเขาก็บอกฉันว่า ไม่ได้ มันจะไม่เป็นผลดีต่อสถาบัน... ฉันยังจำบทสนทนานั้นได้ดีเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน พวกเขาบอกว่าเห็นใจฉัน พวกเขาเข้าใจดีว่ามันแย่แค่ไหน แต่ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้”
วินฟรีย์ ได้ยิงคำถามเด็ดกับ เมแกน ว่า ที่ผ่านมา “คุณเลือกที่จะเงียบเอง หรือถูกทำให้เงียบ” ซึ่ง เมแกน ก็ตอบว่า “อย่างหลัง”
ทางด้านเจ้าชายแฮร์รีทรงยอมรับว่าเสียพระทัยที่ไม่ได้รับความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจจากคนในราชวงศ์ และเรื่องร้ายๆ ที่เกิดกับ เมแกน ทำให้ทรงเกรงว่า “ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย” เหมือนตอนที่พระมารดา เจ้าหญิงไดอานา สิ้นพระชนม์ในอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปี 1997
ดยุคแห่งซัสเซกซ์ยังทรงปฏิเสธข่าวที่ว่า ทรงประกาศลดบทบาทเชื้อพระวงศ์โดยไม่ได้ปรึกษาหารือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก่อน โดยทรงยืนยันว่า “ไม่เคยปิดหูปิดตาสมเด็จย่า ผมมีความเคารพรักพระองค์อย่างมาก” แต่ในส่วนของเจ้าฟ้าชายชาร์ลสนั้นทรงยอมรับว่า ถูกพระบิดาปฏิเสธที่จะรับโทรศัพท์มาสักระยะหนึ่งแล้ว
วินฟรีย์ ถามเจ้าชายแฮร์รีว่า หากไม่ใช่เพราะ เมแกน พระองค์จะเลือกทิ้งราชวงศ์อังกฤษหรือไม่ ซึ่งเจ้าชายก็ตอบว่า “ไม่... ผมคงทำไม่ได้หรอก เพราะตัวผมเองก็ติดกับดักนั้นอยู่ ก็เหมือนกับคนอื่นๆ ในครอบครัว พ่อผมและพี่ชายผม ทุกคนล้วนไปไหนไม่ได้ และผมเองก็รู้สึกเห็นใจพวกเขาในจุดนี้”
อย่างไรก็ตาม เจ้าชายแฮร์รีย้ำว่าทรงรู้สึกเสียพระทัยที่คนในราชวงศ์ต่างนิ่งเฉย ไม่พยายามปกป้องหรือช่วยเหลือ เมแกน ที่มักจะถูกโจมตีด้วยถ้อยคำที่สะท้อนแนวคิดเหยียดเชื้อชาติเสมอ
ชาวอังกฤษจำนวนไม่น้อยมองว่าเจ้าชายแฮร์รีและพระชายาเรียกร้องอภิสิทธิ์ต่างๆ จากการเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่กลับปฏิเสธที่จะอุทิศตนเองและไม่ยอมถูกสื่อจับตามอง ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนชี้ว่าปัญหาที่ทั้ง 2 พระองค์เผชิญอยู่นั้นสะท้อนถึง “ความล้าหลัง” ของสถาบันกษัตริย์อังกฤษ
เพียงไม่กี่วันก่อนที่บทสัมภาษณ์จะถูกออกอากาศ หนังสือพิมพ์เดอะไทม์สของอังกฤษได้ตีแผ่เรื่องที่ เมแกน ถูกครหาว่า “บูลลี่” อดีตข้าราชบริพารในวังเคนซิงตัน ซึ่งสำนักพระราชวังบักกิงแฮมก็ออกมาแถลงรับลูกทันควันว่า “มีความกังวลอย่างยิ่ง” และจะสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ขณะที่โฆษกของ เมแกน ระบุว่าเธอเสียใจกับข้อกล่าวหาที่ได้รับล่าสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวเธอเองก็ตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่ตลอดมา
เมแกน บอกกับพิธีกรหญิงคนดังว่า คนในราชวงศ์อังกฤษไม่เพียงไม่ปกป้องเธอจากการถูกกล่าวหาเท่านั้น แต่ยังเลือกที่จะ “โกหก” เพื่อปกป้องคนอื่นด้วย
“หลังจากที่เราเข้าพิธีแต่งงาน ทุกอย่างก็เริ่มแย่ลง จนสุดท้ายฉันก็เข้าใจว่า นอกจากฉันจะไม่ได้รับการปกป้องแล้ว พวกเขายังเต็มใจที่จะโกหกเพื่อปกป้องสมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ”
“ด้านหนึ่งคือครอบครัว แต่อีกด้านหนึ่งก็คือกลุ่มคนที่บริหารจัดการสถาบันนี้อยู่ สองสิ่งนี้เป็นคนละอย่างกัน และเราจำเป็นที่จะต้องแยกแยะ เนื่องจากสมเด็จพระราชินีนาถก็ทรงเป็นคนหนึ่งที่ดีต่อฉันเสมอ”
เมแกนยังปฏิเสธเรื่องที่สื่อเอาไปรายงานว่า เธอเคยทำให้ “เคต” ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ พระชายาของเจ้าชายวิลเลียม ร้องไห้ในช่วงก่อนพิธีเสกสมรสเมื่อปี 2018 และยอมรับว่านั่นคือ “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้สื่ออังกฤษหันมาเล่นงานเธอ
“สิ่งที่เกิดขึ้นมันตรงกันข้าม” เมแกน กล่าว “ช่วง 2-3 วันก่อนพิธีแต่งงาน เธอ (เคต) อารมณ์เสียเกี่ยวกับ...ชุดของเด็กผู้หญิงที่ถือช่อดอกไม้ และนั่นทำให้ฉันน้ำตาตกเลย ฉันเสียใจกับเรื่องนี้มาก และฉันคิดว่าในบริบทของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนวันแต่งงาน มันไม่เมกเซนส์เลยที่ (เธอ) ไม่กระทำเหมือนคนอื่นๆ ที่ต่างก็พยายามช่วยเหลือทุกอย่าง เพราะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างฉันกับพ่อ (โทมัส มาร์เคิล)”
เมแกน ยืนยันว่า เธอและแฮร์รี “ไม่ได้รับเงินค่าจ้าง” แม้แต่เซนต์เดียวจากการออกมาให้สัมภาษณ์ แต่มีรายงานว่าสถานีโทรทัศน์ CBS ต้องจ่ายเงินซื้อสิทธิ์ในการออกอากาศบทสัมภาษณ์เปิดใจชิ้นนี้ประมาณ 7-9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 215-276 ล้านบาท
ในขณะที่หลายฝ่ายเฝ้าจับตามองว่าราชวงศ์อังกฤษจะชี้แจงหรือตอบโต้บทสัมภาษณ์นี้อย่างไร ทางสำนักพระราชวังบักกิงแฮมก็ได้มีแถลงการณ์ในนามสมเด็จพระราชินีนาถออกมาเมื่อวันอังคาร (9) โดยระบุว่า “สมาชิกราชวงศ์ทุกคนรู้สึกเสียใจเมื่อได้ทราบถึงความท้าทายต่างๆ ที่ แฮร์รี และ เมแกน ต้องเผชิญในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวนั้น โดยเฉพาะประเด็นเชื้อชาติ เป็นเรื่องที่น่ากังวล แม้ความทรงจำของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ให้ความจริงจังกับเรื่องนี้ และจะจัดการแก้ไขปัญหาเป็นการภายใน แฮร์รี, เมแกน และอาร์ชี จะยังคงเป็นสมาชิกในครอบครัวที่พวกเรารักเสมอ”
ขณะเดียวกัน บ็อบ มอร์ริส จาก Constitution Unit แห่ง University College London ได้ออกมาชี้แจงในประเด็นที่เจ้าชายแฮร์รีและเมแกน ออกมาทิ้งระเบิดว่า อาร์ชี ไม่ได้รับยศเจ้าชายอาจเนื่องมาจากสีผิว โดยเขาระบุว่า ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ต่างก็รับรู้กฎมณเฑียรบาลเป็นอย่างดี และสิ่งที่ เมแกน อ้างถึงอาจจะหมายถึงแผนการของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ ที่ทรงต้องการลดขอบเขตผู้ที่มีสิทธิให้แคบลง เพราะทรงเล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องลดขนาดราชวงศ์ให้เล็กลง
ตามกฎมณเฑียรบาลของอังกฤษที่ออกโดยพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในปี 1917 กำหนดไว้ว่า “พระราชปนัดดาของกษัตริย์จะไม่ได้เป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิง ยกเว้นแต่พระราชปนัดดาที่เป็นโอรสองค์โตของพระโอรสองค์โตของเจ้าชายแห่งเวลส์เท่านั้นที่จะได้มียศเป็นเจ้าชาย” ทว่าเมื่อปี 2012 สมเด็จพระราชินีนาถได้ทรงใช้พระราชอำนาจแก้ไขกฎนี้ เพื่อให้พระโอรสและพระธิดาทุกพระองค์ของเจ้าชายวิลเลียมและ เคต ได้ประดับยศเจ้าชายและเจ้าหญิง
ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งก็คือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีพระราชปนัดดา (เหลน) ถึง 9 พระองค์ ซึ่งรวมถึง อาร์ชี ด้วย ทว่าทั้งหมดนี้มีเพียงพระโอรส-ธิดารวม 3 พระองค์ของเจ้าชายวิลเลียมเท่านั้นที่มียศเจ้าชายและเจ้าหญิง ดังนั้น การที่ อาร์ชี ไม่ได้รับยศเจ้าชายจึงเป็นไปตามกฎ ไม่ใช่เพราะความคิดเหยียดเชื้อชาติแต่อย่างใด
แม้การให้สัมภาษณ์เปิดโปงด้านมืดของราชวงศ์คราวนี้จะถูกมองว่าเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดที่สถาบันกษัตริย์อังกฤษเผชิญในรอบเกือบ 100 ปี แต่ฝ่ายที่สนับสนุนราชวงศ์ก็ยังเชื่อว่าสถาบันจะสามารถฝ่าฟันมรสุม ปรับตัวอย่างเงียบๆ และดำรงคงอยู่ต่อไปได้ อย่างน้อยๆ ก็ตลอดรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
ผลสำรวจความคิดเห็นซึ่งถูกจัดทำทันทีภายหลังบทสัมภาษณ์ถูกออกอากาศพบว่า ชาวอังกฤษส่วนใหญ่เห็นใจสมเด็จพระราชินีนาถและสมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ มากกว่าฝั่งแฮร์รีและเมแกน ทว่าความคิดเห็นนั้นแตกต่างไปตามช่วงวัยในประเด็นที่ว่า “บุคคลทั้งสองถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมหรือไม่” โดยพบว่าคนรุ่นหนุ่มสาวมักจะเลือกข้างดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ในขณะที่คนอายุ 65 ปี ขึ้นไปไม่คิดเช่นนั้น
https://ift.tt/3rKNqGv
บันเทิง
Bagikan Berita Ini
0 Response to "Weekend Focus: 'แฮร์รี-เมแกน' ให้สัมภาษณ์สาวไส้ 'ราชวงศ์อังกฤษ' โอดถูก 'เลือกปฏิบัติ-เหยียดผิว' - ผู้จัดการออนไลน์"
Post a Comment