อดีตนักร้องชื่อดัง “แพท พาวเวอร์แพท” ที่เพิ่งออกจากเรือนจำ หลังถูกจองจำเป็นเวลา 16 ปี 8 เดือน ล่าสุด ได้ให้สัมภาษณ์เปิดใจในรายการ ถามสุดซอย ที่มี “ธัญญ่า ธัญญาเรศ เองตระกูล” เป็นผู้ดำเนินรายการ
ขอย้อนไปถึงอดีต ตอนที่เราวัยรุ่น ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดครั้งแรก ตอนนั้นอายุเท่าไหร่?
“ประมาณ 15 16 17 ครับ คือผมเป็นเด็กที่ชอบเล่นดนตรี แล้วโตมากับเพลงร็อกในยุคนั้น อาจมีศิลปินที่เป็นร็อกสตาร์ต่างประเทศ ที่เรานับถือเป็นไอดอล ในยุคนั้นมีหลายคนใช้ยาเสพติดในการเล่น แล้วเรารู้สึกว่ามันเท่ รู้สึกได้ฟิลลิ่งความเป็นร็อกสตาร์ เราเลยมีความคิดที่จะเลียนแบบเขาในส่วนหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งคือตัวผมเองรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ เหมือนคุยกันคนละภาษา ก็เริ่มหันไปใช้ยาเสพติด โดยคิดว่าสิ่งนั้นเป็นเพื่อนของเรา แก้เหงา”
ใช้ยาอะไรในตอนนั้น?
“เท่าที่หาได้ ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นอะไร”
ตอนไปยุ่งกับยาเสพติด เป็นแพท พาวเวอร์แพทหรือยัง?
“เป็นระยะครับ ช่วงใช้ไม่ใช้ เป็นมาเรื่อย ๆ”
เคยเสียงานกับยาเสพติดมั้ย?
“ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่ชีวิตประจำวันเราจะผิดแปลกไปจากมนุษย์ทั่วไป กลางวันเราจะนอน กลางคืนเราจะไม่นอน ถ้ามีงานกลางวันก็จะรับไม่ได้ ไม่สามารถไปได้ ทำให้กระบวนการทำงาน ขั้นตอนที่อยู่ในแบบแผนไม่สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ ทำให้ชีวิตเริ่มแย่ลงไปเรื่อย ๆ”
ตอนนั้นเราไม่ได้อยู่กับที่บ้าน?
“ผมไม่ได้อยู่กับที่บ้านตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 มั้งครับ คือบางบ้านไม่อยากให้ผมออกไปหรอก แต่เราเป็นเด็กมีความคิดของตัวเอง ซึ่งความคิดนั้นอาจไม่ได้ถูกต้อง อยากมาใช้ชีวิตของตัวเอง อยากพิสูจน์บางอย่าง ออกจากบ้านหิ้วกีต้าร์มา 1 ตัว อยากพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง อยู่คนเดียวบ้าง อยู่กับเพื่อนบ้าง”
ณ วันที่ถูกจับ?
“ตัวผมเองไม่อยากไปพาดพิงถึงบุคคลอื่น เอาเป็นว่า ณ วันนั้นเจ้าหน้าที่ตร.ก็ไม่ได้มาติดตามผมโดยตรง ติดตามอีกคนนึงมาแล้วบังเอิญเจอผม ก็ถูกรวบตัวไปพร้อมยาเสพติด ตอนนั้นเป็นยาอีจำนวน 2,998 เม็ด มีคนนำมาฝากไว้ ตอนนั้นเราเสพยา ติดยา คนมาฝาก ก็ฝากไว้ จะใช้เท่าไหร่เราก็ใช้ไป ไม่ต้องซื้อ เขาพร้อมเมื่อไหร่จะมาเอาไป ที่ใช้ไปก็ไม่ต้องซีเรียส ใช้เท่าไหร่ใช้ไป ถึงเวลาเดี๋ยวมาเอา”
เราไม่ได้ขาย?
“ไม่ได้ขาย เขาฝากเราไว้ ถึงเวลาเราก็คืนเขา แล้วตร.ก็มารวบเรา”
ความผิดคืออะไร?
“ร่วมกันค้ายาเสพติด เป็นการร่วมกัน ซึ่งขณะนั้นผมไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ก็อาจเป็นจุดอ่อน ทำให้เป็นเครื่องมือของใคร แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะโทษใครนะ เพราะถ้าผมไม่เข้าไปยุ่งไปเสพ ก็คงไม่สามารถเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก็ต้องโทษตัวเราเองนี่แหละ ที่เราคิดพลาดไป ใช้ชีวิตผิด คิดพลาดไปในช่วงนั้น ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น”
ณ วันที่โดนจับ คิดว่าจะรอดมั้ย คิดมั้ยว่าต้องอยู่ในเรือนจำ 20 ปี?
“ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิด ผมเป็นเด็กวัยรุ่นที่ไม่ค่อยเสพสื่อ ไม่ค่อยรู้เรื่องกฎหมาย ณ เวลานั้น ไม่รู้ว่าเคสในคดียาเสพติดมีหลายรูปแบบ ถ้าครองครองเพื่อเสพก็มีจำนวนการจำคุกก็อีกลักษณะนึง ถ้าร่วมกันค้าก็อีกลักษณะนึง ไม่เคยทราบตรงนี้เลย เพิ่งรู้ตอนถูกตร.จับไปแล้ว มีพี่ตร.คนนึงเดินมาบอกว่ารู้มั้ยโทษเราอย่างน้อย 20 กว่าปีมีแน่นอน ก็ตกใจ ด้วยความเราไม่รู้ อำให้เรากลัวหรือเปล่า เราขาดความรู้ด้านสิ่งเหล่านี้ ต้องยอมรับตรงนี้”
วันแรกที่ก้าวขาเข้าไป เป็นยังไง?
“กังวลมาก เพราะเราทราบแต่ในภาพยนตร์ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่รู้มันจริงมั้ย ก็กังวล พอเข้าไปสิ่งแรกที่ผิดจากที่เราคิดคือทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก มันสะอาด มันโล่ง มันเงียบ ตอนเข้าไปเป็นช่วงเย็นที่เขานำผู้ต้องขังขึ้นตึกนอนแล้ว เข้าไปวันแรก เขาไม่ให้เราใส่รองเท้า เดินเท้าเปล่าพร้อมโซ่ตรวนที่ขา มือนึงก็หิ้วสัมภาระตัวเอง มือนึงหิ้วโซ่ไม่ให้ลากไปกับพื้น เพราะมันจะดังมาก สมัยก่อนคดีของกลางมาก คาดการณ์ว่ามีการตัดสินจำโทษสูงเขาจะใส่โซ่ตรวจไว้เลย ประมาณ 3 เดือนเพื่อดูพฤติกรรม เพื่อป้องกันการหลบหนี ทำร้ายร่างกายตัวเอง แต่ยุคหลัง ๆ เขามีการยกเลิกข้อกำหนดนี้ไว้แล้ว ผมใส่เกือบ 3 เดือนก็ถอดออกไป ก็เจ็บและต้องปรับตัว ต้องดูแลรักษา เพราะขึ้นสนิมได้ง่ายมาก แล้วจะเป็นอันตรายกับเรา จะกัดข้อเท้าเราให้เป็นแผลได้ง่าย ฉะนั้นต้องคอยหมั่นเช็ดทำความสะอาด ยิ่งหน้าฝนสนิมขึ้นเร็วมากต้องคอยดูแล มันเป็นอีกหนึ่งอวัยวะของเรา ต้องให้สะอาดตลอดเวลา ไม่งั้นจะลำบาก”
มีรุ่นพี่มาสอนมั้ย?
“มีครับ เพราะพออยู่ที่ข้อเท้า การใส่กางเกง ถอดกางเกงก็จะมีเทคนิคของมัน มันซับซ้อนมาก เป็นเทคนิคของคนอยู่ข้างใน”
ตอนเข้าไปเงียบมาก แล้วยังไงต่อ?
“ตอนนั้นขึ้นไป มีเพื่อนผู้ต้องขังขึ้นเรือนนอนกันแล้วนะ มีการเปิดทีวีให้ดูอะไรต่าง ๆ ได้รับการต้อนรับจากเพื่อน ๆ เป็นอย่างดี มีการพูดคุย เหมือนการสอบประวัติกัน อาจด้วยเป็นธรรมเนียมอะไรก็แล้ว คดีเป็นยังไง ตัดสินเท่าไหร่ เด็ดขาดหรือยัง เหมือนทำความรู้จักกัน เราก็พยายามพูดคุยกับทุกคน พยายามทำตัวกลมกลืน ไม่ไปทำตัวแปลกแยก เพราะเราคิดว่าต้องอยู่ให้ได้ และต้องอยู่นานด้วย”
ปรับตัวนานมั้ยในการยอมรับการอยู่ในสภาพแบบนี้?
“สองสามเดือนครับ ก็ถือว่าเร็ว เป็นช่วงชีวิตที่จะมีเพื่อนสนิทบ้าง พอคดีเราถูกตัดสินในชั้นต้นก็ถูกย้ายมาเรือนจำบางขวางคนเดียว เป็นที่คุมขังคดีโทษสูงถึงประหารชีวิต ชื่อของเรือนจำที่เราวาดภาพไว้ ดูน่ากลัวมาก มีตำนานอะไรที่เขาเล่าเยอะมาก แต่พอเราเข้าไปมันไม่ได้น่ากลัวหรือเลวร้ายอย่างที่คนข้างนอกมองภาพไป มันผิดไปจากภาพในภาพยนตร์หรือคนข้างนอกพูดถึง มันดูเป็นระเบียบ สะอาด”
ชีวิตคนในเรือนจำต้องทำอะไรบ้าง?
“เขามีตารางให้ทำกิจกรรมในแต่ละวัน เหมือนกับคุณอยู่ข้างนอกมีกฎหมายขีดให้คุณมีอิสระในการเดิน แต่คุณฉีกออก ก็ต้องมาอยู่ในที่ที่เขาขีดเส้นทางให้คุณเดิน”
พอไปอยู่ตรงนั้น คนอยู่รอบตัวเรา มีปฏิกิริยากับเรายังไง?
“แน่นอนเขาสังเกตเรา แต่พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับคนอื่น พยายามไม่ผิดแผกไปจากเขา”
สอนดนตรีด้วย?
“เริ่มต้นจากตัวเองด้วย ที่เข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว อยากพัฒนาตัวเองต่อไป เราจะอยู่ยังไงให้ได้ ก็ใช้สิ่งที่ชอบเป็นเป้าหมาย ทั้งเรื่องดนตรีและศิลปะ ผมก็ตั้งใจว่าจะพัฒนาในสิ่งที่ตัวเองชอบ โชคดีมีเพื่อนมีพี่ที่รักกัน เขาส่งสื่อการสอน อุปกรณ์ หนังสือเรียนต่าง ๆ มาให้ ผมก็เรียนรู้จากสิ่งที่มีไปเรื่อย ๆ พอถึงระยะเวลานึงเรามีความรู้ในระดับนึง แต่ผมไม่ใช่คนเก่งมากนะ จะมีน้อง ๆ ที่เขาสนใจเข้ามาหาเรา เราก็แบ่งปัน รู้สึกทำให้เราเห็นคุณค่าตัวเอง แม้อยู่ในที่ที่คนดูว่าเป็นที่แย่ ๆ แต่เราก็สร้างคุณค่าให้สังคมหรือคนรอบข้างให้เราได้ พอเราเห็นแววตาเขา ความสุขก็เกิดกับเรา เหมือนเราได้ช่วยเขา เหมือนสิ่งที่เราได้จากดนตรี ศิลปะที่ช่วยเยียวยาจิตใจเรา ให้มันอยู่ได้ สิ่งที่ได้รับเขาก็ได้รับเหมือนกับเรา เหมือนเราส่งต่อ ส่งมอบสิ่งดี ๆ ที่ได้มาให้คนอื่นและต่อยอดต่อไป รู้สึกอิ่มเอิบใจมาก”
ตอนอยู่ในนั้นแต่งเพลงด้วย?
“ผมก็ตั้งเป้าหมายว่าวันนึงเมื่อเราออกไป เรารักงานเพลง เราก็ใช้เวลานี้พัฒนาและวางเป้าหมายไปข้างหน้า เราก็เริ่มฝึก ไม่มีใครมาสอนโดยตรง แต่จำจากประสบการณ์ของเรา เอามาต่อยอดให้ตัวเอง มันก็มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่งเยอะมากเกือบ 100 ตั้งแต่เราฝึกมาเลย และมีของตัวเองด้วย เขียนให้คนอื่นด้วย เพื่อน ๆ ที่เขาอยากได้ในเรือนจำด้วย ภายนอกก็มีนะ กับน้องที่เขาร้องเพลง เขาอยากได้เพลงก็มี”
ตอนศาลตัดสินว่าต้องอยู่ในเรือนจำกี่ปี?
“ตอนนั้นศาลตัดสิน 50 ปี เราก็คิดว่าเราจะอยู่ยังไง จะเป็นไปได้เหรอที่จะอยู่ถึงตอนนั้น เราจะตายก่อนมั้ย ก็อื้ออยู่พักนึง”
เราให้กำลังใจตัวเองยังไง ให้สู้ไปกับมัน?
“ผมคิดว่ายังไงผมก็ต้องอยู่ เรื่องคิดสั้นไม่มีอยู่แล้ว บวกกับได้รับข้อมูลจากคนข้างในว่ามีสิทธิ์ได้ลดโทษ อาจต้องอยู่สักระยะนึง แต่ไม่ถึง 50 ปีหรอก อาจจะสิบกว่าปีหรือ 20 ปีก็แล้วแต่ อยู่ที่การกระทำของเรา ถ้าทำความดีไปเรื่อย ๆ ทำชั้นผู้ต้องขังขึ้นไปเรื่อย ๆ อาจได้รับพระราชทานอภัยโทษ พักโทษหรือลดโทษกรณีใดกรณีนึง ซึ่งโอกาสที่เราจะได้กลับบ้านจะเร็วกว่านั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นข้อมูลให้กำลังใจ รวมทั้งครอบครัวด้วย เวลาพ่อแม่มาเยี่ยมก็เป็นกำลังใจให้”
ตอนเด็กไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ วันที่อยู่ในคุกทำให้เราคิดอะไรได้?
“ทำให้เราเห็นถึงความรักในครอบครัว ทำให้เราเห็นว่าคนที่รักและหวังดีห่วงใยกับเราที่สุดคือครอบครัว พ่อแม่ของเรา เรามีครอบครัวที่ดี มีพื้นฐานที่ดี มีครอบครัวน่ารักกว่าหลายครอบครัว ทำไมเราถึงมองไม่เห็น เรารู้สึกประหลาดใจในความคิดตัวเองมากว่าทำไม ณ ตอนนั้นเราถึงต่อต้านพวกเขา เพราะอะไรเราถึงปิดกั้นพวกเขา ซึ่งทุกคนหวังดีกับเราจริง ๆ อยู่กับเรา เคียงข้างเราตลอดเวลาในวันที่เราอยู่ในเรือนจำ วันที่เราลำบาก เริ่มทบทวนตัวเอง สิ่งที่ทำผิดพลาดไป สิ่งที่ล่วงเกินครอบครัว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาลำบาก เราผิด เรายอมรับ และตั้งใจว่าต่อจากนี้ไปจะทำให้เขาภูมิใจ จะไม่ทำผิดอีก เริ่มแก้ไข และตั้งใจเก็บกู้ชีวิตที่พังทลายขึ้นมาให้เร็วที่สุด เริ่มตั้งหน้าตั้งตาว่าเราทำอะไรในเรือนจำได้บ้าง ก็เลยมีการเรียนหนังสือ”
เรียนยังไง?
“เขาจะมีหลักสูตรมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นการเรียนทางไกล เป็นมหาวิทยาลัยเปิด เขาจะส่งหนังสือตามรายวิชาส่งมาตามพัสดุภัณฑ์ ต้องอ่านเองทั้งหมด ต้องมีวินัยกับตัวเองถึงจะสอบผ่าน ผมจบใบแรกศิลปศาสตร์ ก็เรียนต่อใบที่สอง แต่พอผมรู้สึกว่าผมเรียนในสิ่งที่ผมไม่ได้ใช้ ผมก็หยุดเรียน แล้วมาเลือกเรียนด้านวิชาชีพที่ตัวเองน่าจะชอบและได้ใช้ คือมาเรียนเรื่องศิลปะ และจิตรกรรม ตอนนั้นเรียนของกศน. มีการสมัครเรียนและจบการศึกษาด้านศิลปะและจิตรกรรมมาอีกหนึ่งใบ”
แพทอยู่มาเกือบ 20 ปี ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ค่อนข้างเยอะ?
“อยู่ตั้งแต่ยุคกินข้าวแดง ที่คนโบราณเขาชอบพูดกัน เป็นข้าวกล้องหรืออะไรสักอย่างที่ไม่ได้ขัดสี กับข้าวก็มีวนเวียนไปเรื่อย แต่ข้าวค่อนข้างแข็งนิดนึง แต่เขาว่ามีประโยชน์มากนะ มีสารอาหารดีมาก (หัวเราะ) จนมาผลัดเปลี่ยนเป็นข้าวขาว เป็นยุคเปลี่ยนผ่านในหลาย ๆ ยุค”
การได้เข้ามาอยู่ในนี้ ปรับเปลี่ยนเราให้ดีกว่าเดิม?
“เหมือนเราถูกใส่ชุดความคิดใหม่ เข้าใจชีวิตและเข้าใจโลกมากขึ้น ทุกอย่างไม่ได้ซับซ้อนเหมือนตอนที่เราคิดในวัยเด็กเลย มันคิดง่าย ๆ เท่านั้นเอง”
ถ้าวันนั้นไม่ได้เข้ามาเรือนจำ คิดมั้ยจะเป็นยังไง?
“อาจเสียชีวิตเพราะยาเสพติดไปแล้วมั้งครับ (หัวเราะ) เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์ใด ๆ และทำลายร่างกายเราไปทุกวัน คิดว่าในความโชคร้ายก็มีความโชคดี”
เราทราบนานมั้ยว่าจะได้ออกมาวันไหน?
“ถ้าให้รู้ชัดแน่ 100 เปอร์เซ็นต์ วันที่ประกาศพระราชทานอภัยโทษเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 63 วาระ 5 ธ.ค. ได้ทราบว่าได้ออกแน่นอน ก็ตื่นเต้นและดีใจมาก วันที่เรารอคอยมาถึงแล้ว เราก็อดทนสู้มายาวนานทั้งตัวเองและครอบครัว รวมถึงพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่เขาให้กำลังใจเรา เอฟซีแฟนคลับที่เขายังเชื่อมั่นในตัวเรา ว่าเราสามารถเปลี่้ยนแปลงได้ ทำอะไรดี ๆ ให้คนข้างนอกได้ คิดว่าวันที่รอคอยมันมาถึง”
ช่วง 1 เดือนเป็นยังไงบ้าง?
“ก็คิดไปเรื่อยว่าโลกภายนอกจะเป็นยังไงบ้าง นอนไม่ค่อยจะหลับ”
พอออกมาเห็นโลกภายนอกจริงๆ?
“มันมากกว่าที่คิดไว้เยอะมาก ๆ ต้องเรียนรู้ไป ทั้งเทคโนโลยีและการใช้ชีวิต แต่โชคดีครอบครัวผมซัปพอร์ต เป็นพี่เลี้ยงให้ รวมถึงพี่ ๆ เพื่อนๆ รอบข้าง แนะนำหลายอย่างมาก”
คืนแรกกลับไปนอนที่นอนนุ่ม ๆ ที่บ้าน?
“ปิดไฟนอนก็แปลก ๆ เพราะในเรือนจำต้องเปิดไฟนอนตลอดเวลา มันแปลกไปทุกอย่าง”
เจอรถไฟฟ้า รู้สึกยังไง?
“สมาร์ทโฟนอะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) ตอนนี้นั่งรถยังเมาอยู่เลย เพราะในนั้นเป็นวิสัยทัศน์ที่แคบ อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม พอมาเจอรถวิ่ง วิสัยทัศน์ที่ไกลขึ้นจากสายตาที่เคยมองปกติ ต้องปรับและใช้เวลาสักนิดนึง”
อยากไปนั่งรถไฟฟ้ามั้ย?
“ก็อยากครับ ยังพูดกับพี่เขยอยู่เลย ว่าสักวันจะลองไปทัวร์กัน แต่ไม่มีเวลา มีงานเข้ามา งานเพลงก็เริ่มมีแพลน คุยกับพี่เทดดี้แล้ว ว่าจะมีโอกาสได้ทำผลงานเพลงกันอีกครั้งแต่ต้องดูตามสเต็ป ไม่รีบร้อน และมีแพลนจะบวชให้คุณแม่ด้วย เป็นลูกที่ไม่ค่อยดี พอมีโอกาสก็ตั้งใจตอบแทนท่าน ชดใช้และชดเชยในสิ่งที่เราละเลยไปต่อจากนี้”
คุณพ่อคุณแม่เป็นไงบ้าง?
“ดีใจมาก หน้าบานเลย เขาโล่ง ที่สู้กันมา อดทนกันมา มันส่งผลแล้ววันนี้”
อนาคตมองยังไง?
“ผมจะชดเชยในสิ่งที่ผมเคยมีส่วนทำร้ายสังคม พยายามใช้ความรู้ความสามารถสร้างประโยชน์ให้สังคม”
ถ้าย้อนไปได้ มีอะไรอยากแก้ไข?
“การเชื่อฟังครอบครัว เป็นสิ่งที่ต้องกลับมาคิด เพราะครอบครัวเป็นสถาบันที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับสร้างคนๆ นึง คนรักเรา และหวังดีที่สุดกับเราก็คือครอบครัว อยากให้น้อง ๆ เยาวชนเชื่อฟังพ่อแม่ ด้วยความเป็นวัยรุ่นเราอาจจะรำคาญ ไม่อยากรับฟังในสิ่งที่ท่านเตือน ซึ่งเขาเตือนเพราะเขาหวังดี เขาอาบน้ำร้อนมาก่อน อย่างผอมเอง สิ่งที่ผู้ใหญ่เตือน พอมันผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ เรารู้เลยว่ามันตรงหมดเลย และจริงอย่างที่เขาบอก อย่าให้เกิดเหตุการณ์ผิดพลาดในชีวิตเลย เชื่อฟังผู้ใหญ่ เดินตามทางที่ถูกที่ควรดีที่สุด”
เกือบ 20 ปีอยู่ในเรือนจำ คิดว่าถ้าอยู่ปีสองปีจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นแบบนี้ได้มั้ย?
“อาจเป็นเวลาที่น้อยเกินไป อาจจะยังไม่เข็ดมั้ง (หัวเราะ)”
การอยู่ในเรือนจำ เกือบ 20 ปี ให้อะไรกับแพท?
“มันให้ความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ และการตกผลึกทางความคิด บางสิ่งที่อยู่ในลู่ทางที่ควรเป็น ความเข้าใจโลก และความเข้มแข็งในจิตใจของตัวเอง การรู้คุณค่าการใช้ชีวิต ตอนนี้เข้มแข็งเต็มที่”
อ่านข่าวเพิ่มเติม
Add Friend Follow อ่านบทความและอื่น ๆ ( ถอดบทเรียน แพท พาวเวอร์แพท ชีวิตหลังม่านเหล็กกว่า 16 ปี สำนึกความผิดเต็มหัวใจ - thebangkokinsight.com )https://ift.tt/3ojAAgB
บันเทิง
Bagikan Berita Ini
0 Response to "ถอดบทเรียน แพท พาวเวอร์แพท ชีวิตหลังม่านเหล็กกว่า 16 ปี สำนึกความผิดเต็มหัวใจ - thebangkokinsight.com"
Post a Comment